วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม

ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม







  ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม 


.................รุ่นนี้หลวงพ่อทำแจกครั้งแรกพร้อมแผ่นแนบ เดิมๆจากวัด ซึ่งเป็นยันต์ที่อยู่บนยอดธงออกรบสมัยโบราณ ตำราวิชานี้เป็นตำราพระร่วงที่หลวงพ่อเราสืบทอดมาเป็นท่านสุดท้าย..ถึงแม้ท่านอื่นนำไปทำผลมากที่สุดจะแค่ 10% เท่านั้น ท่านบอกไว้ 

เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้

๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย 
๒. ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย
๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย

*************************************************************

ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้

๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร

๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง) 

๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา 



ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร 

เมื่อบรรยายจบ ปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาด ถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ 

ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่า ให้ปฏิบัติ ตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก

ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ 

ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น 

จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากห่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ 

วันที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน 

วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย 

ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา 

หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้

๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว 

๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น 

๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่ 

๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง 

๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี 

๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก 

๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย 

เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี



ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ 

แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำไว้ดังนี้

๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น

๒.ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร-ปล้น-ฆ่าเขา-โขโมยเขา ธงนี้ไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย 

๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)

๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับ ผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และ รูปยันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกัน ทุกประการ ใช้แทนกันได้

๕. เรื่องป้องกัน หรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่ หรือวาตภัย
มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย...สาธุ 
:เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน





วัตถุมงคลของหลวงพ่อที่อาตมา(พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน) ประจักษ์ชัดในอานุภาพมากที่สุด
................. เชื่อมั่นติดตัวเป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามคับขันตลอดมา คือธงมหาพิชัยสงคราม ด้วยธงเล็ก ๆ ผืนเดียวนี่แหละ ที่ช่วยอาตมารอดจากการบอมบ์ด้วยปืนใหญ่ อย่างไม่ลืมหูลืมตาของฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว ทั้งยังรอดจากจรวดอาร์พีจี และกระสุนปืนที่ระดมมาเป็นห่าฝนยิ่งกว่าปาฏิหาริย์...! 

ธงมหาพิชัยสงครามนั้นสร้างขึ้นตามตำราพระร่วง เป็นธงนำทัพในสมัยนั้น กว่าจะเขียนเสร็จกว่าจะปลุกเสกเป็นที่เรียบร้อย ก็กินเวลาเป็นเดือน ๆ แต่มีอานุภาพคุ้มกับความเหนื่อยยาก ผืนเดียวคุ้มกันได้ทั้งกองทัพ ตามตำรากล่าวว่า เพียงถือด้ามธงเข้าไปในป่า รับรองว่าไม่อดตาย ป้องกันอันตรายและเสนียดจัญไรทุกชนิด ซ้ำยังดึงดูดแต่สิ่งที่ดีมีมงคลเข้ามาสู่ผู้ใช้อีกด้วย ให้มีแต่ความสุขความเจริญทุกประการ... หลังจากอาจารย์แจง ชาวสวรรคโลกตาย หลวงพ่อก็ไปขอตำราพระร่วงที่ท่านยืมไปจากหลวงปู่ปานคืนมา เปิดดูแล้วชอบยันต์มหาพิชัยสงครามที่สุด แต่วิธีทำตามที่ระบุในตำรา มันช่างยากเย็นเหลือประมาณ นิสัยของหลวงพ่อนั้น ถ้าอะไรมันยากก็ไม่เอาซะเลยหมดเรื่อง...! จึงปล่อยทิ้งคาตำราไว้อย่างนั้นเอง... 

คืนหนึ่ง...ปรากฏท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง เสด็จมาหาหลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อเป็นเชื้อสายสุดท้ายของพระร่วง ขอให้ช่วยทำธงมหาพิชัยสงครามขึ้นมา ของวิเศษชิ้นนี้จะได้ไม่สูญหายไปจากโลก ถ้าผิดจากหลวงพ่อแล้ว คนอื่นเอาไปทำเท่าใดก็ไม่เป็นผล เพราะไม่ใช่เชื้อสายกัน หลวงพ่อท่านปฏิเสธไม่ขอทำ บอกว่า “มันยาก”... ท่านท้าวมหาพรหมพยายามขอร้องให้หลวงพ่อทำให้ได้ ต่อรองกันจนในที่สุดท่านขอแค่ว่า ถ้ากลัวเขียนยากก็ให้ลูกศิษย์ไปจ้างเขาพิมพ์มา แล้วตั้งเครื่องบวงสรวงไว้ ท่านจะเสด็จมาทำพิธีให้เอง...! เป็นอันว่าตกลงตามนี้ หลังเสร็จพิธีท่านบอกว่า “ลง” ให้หนักที่สุด อย่าให้ใครเอาไปทดลองปลุก จะทานอานุภาพไม่ไหว ถึงตายเอาง่าย ๆ ....! 

ระยะแรกหลวงพ่อท่านแจกให้เฉพาะทหาร และต้องเป็นทหารที่อยู่แนวหน้าเท่านั้น อานุภาพประจักษ์ชัดเป็นที่เลื่องลือ ขนาดรถจิ๊ปโดนกับระเบิดแหลกราญหมดทั้งคัน ยังลุกขึ้นมายิงกับฝ่ายตรงข้ามได้หน้าตาเฉย ตกอยู่ในวงล้อมชนิดหนึ่งต่อร้อยยังฝ่าออกมาได้ ชนิดที่กลับถึงฐานเพื่อนเผ่นกระเจิง...นึกว่าผีหลอกเพราะจำหน่ายว่าตายไปแล้ว...! อาตมาขึ้นชายแดนคราวนั้น สิ่งเดียวที่ติดกระเป๋าไปคือธงมหาพิชัยสงครามที่รับมาจากหลวงพ่อ ภารกิจหลักอย่างหนึ่งของอาตมาคือ ๒-๓ วันต้องเข้าไปอรัญประเทศ เพื่อซื้ออาหารสดมาเลี้ยงกำลังพล ระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร มีโจรเขมรดักปล้นทุกวัน ออกไปลำบากยากเข็ญขนาดนั้น แต่เพื่อขวัญและกำลังใจของเพื่อน ๆ ก็ต้องยอมเสี่ยงเอา... 

รถขนเสบียงนั้น จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง รับมาจากตอนยานยนต์ มีธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ด้วย เก่าแก่จนแทบจะกลายเป็นสีขาว ไม่ทราบว่าใครเอามาติดไว้ตั้งแต่เมื่อไร วันเกิดเหตุนั้น อาตมากับลุงจ่าและเพื่อนทหารอีกหนึ่งนาย ออกไปรับเสบียงตามปกติ... ขาไปสะดวกราบรื่นดี ขากลับมาถึงทางช่วงสุดท้ายเลยบ้านนางามไปเล็กน้อย เป็นรอยต่อระหว่าง ร้อยร. ๙๑๐๒ กับ ร้อยร. ๙๑๐๓ ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างกองร้อยของอาตมากับกองร้อยข้างเคียง เสียงจรวดอาร์พีจีก็ลั่น...แ..ว้..ด...ด...! 

จุดอ่อนของจรวดทำลายรถถังชนิดนี้คือ ขณะถูกส่งออกจากลำกล้องจะมีเสียงดังให้รู้ตัวชั่วเสี้ยววินาที จ่าสมชัยกระทืบเบรคทันที เสียงตูมสนั่นฝุ่นตลบ จรวดมหาประลัยตกห่างจากหน้ารถไม่ถึง ๑๐ เมตร แรงอัดระเบิดกระแทกทุกคนผงะหงายหลัง...! ถ้าไปด้วยความเร็วเดิมรับรองเละทั้งคัน...! ไม่ทราบว่าลุงจ่าแกเหยียบคลัชเปลี่ยนเกียร์อีท่าไหน รถทั้งคันกระโจนพรวดอย่างกับเหาะ พร้อม ๆ กับเสียงแ..ว้...ด ตูม สนั่นขึ้นอีกครั้ง ตรงที่รถเพิ่งกระโจนออกมากลายเป็นหลุมมหึมา แรงอัดอากาศกระแทกจนตับไตไส้พุงแทบขย้อนออกทางปาก...! 

ยอดพลขับเหยียบคันเร่งจนมิด ยี.เอ็ม.ซี.คู่ใจทะยานแข่งกับเสียงจรวดที่ลั่นตามมาอีกอย่างจะไม่ให้รอดกันเลย แถมด้วยกระสุนปืนเล็กกลแตกกราวไล่หลังมา ผู้ที่รับไปเนื้อ ๆ คือ ป่าไผ่ข้างถนน ขาดระเนนระนาดด้วยฤทธิ์อาวุธสงครามนานาชนิด...! 

สิงห์ทะเลทรายประจำกองร้อยของเราสวนออกมาเร็วทันใจดีเหลือเกิน เอ็ม.๖๐ผงาดร่าพ่นมัจจุราชหัวทองแดงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามเป็นห่าฝน เท่านั้นเอง...ฟาดกันนัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนกองร้อยทหารพรานที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ต้องยกกำลังมาเสริมทั้งกองร้อย...! 

จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง กลายเป็นวีรบุรุษไปเลย แต่ลุงจ่าแกบอกอยู่คำเดียวว่า “ไม่ใช่ฝีมือผม...ผมทำแบบนั้นได้ซะเมื่อไหร่..เดชะบุญคุณพระคุ้มแท้ ๆ ....!” แต่ไม่มีใครฟังแกเลย ต่างคว้าพระที่คอของลุงจ่าไปดูกันเป็นการใหญ่ แต่สรุปไม่ได้ว่าองค์ไหนช่วย...! 

อีกไม่กี่วันต่อมา หมู่ปืนเล็กลาดตระเวนของสิบเอกอภิชาติ อินต๊ะรัตน์ ไปถูกล้อมกรอบที่เนิน ๔๒... สิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ ตัดสินใจขับรถปาฏิหาริย์คันนี้ ลุยเข้าไปกลางวงล้อมช่วยพรรคพวกทั้งหมดออกมา ชนิดที่รถไม่ระคายเลยแม้เท่ารอยแมวข่วน...! ทุกคนอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว รถคันเท่าบ้านเท่าตึก ฝ่ายตรงข้ามยิงไม่ถูกซักนัด...! มีเพียงพลทหารวรรณะ ใสรังกาบาดเจ็บที่ข้อเท้าคนเดียว...! 

อานุภาพธงมหาพิชัยสงครามที่เด่นชัดที่สุดที่อาตมาพบ เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามถล่มกองร้อยของอาตมาด้วยปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ ม.ม.เสียงระเบิดปานฟ้าผ่าปลุกทุกคนขึ้นมาตอนใกล้รุ่ง อาตมากระโดดลงหลุม ปืนกลหนักขนาด ๑๒.๗ ม.ม.ระดมยิงสวนไปอย่างหูดับตับไหม้ หมู่ ค. ๘๑ เผ่นเข้าประจำที่ ส่งกระสุนตอบโต้อย่างกับเด็กหาญสู้ผู้ใหญ่...! 

ตามปกติแล้วหมู่ปืนใหญ่ที่ชำนาญมาก ๆ ภายในสามวินาทีจะยิงได้ ๑ นัด อาตมาให้อย่างช้าหกวินาทีต่อนัดเลยเอ้า ...ปืนใหญ่ทั้งสามกระบอกรุมบอมบ์อยู่ ๑๕ นาที ๔๕๐ นัด...! มัจจุราชแตกอากาศ ที่รัศมีแห่งความตายของแต่ละนัดเท่ากับ ๕๐๐ เมตร ไม่ทราบว่าวิ่งชนกำแพงอะไร ตกอยู่แค่แถวหน้าฐานทั้งหมด กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย...!

“ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน” เสียงหลวงพ่อที่บอกขณะอาตมารับมอบธงจากท่านดังก้องขึ้นในใจ อาตมาขนลุกซู่ไปทั้งตัว สาธุ...พระเดชพระคุณคุณหลวงพ่อ ถ้าไม่ได้บารมีท่านช่วยคุ้มครอง ลูกคงตายไปหลายวาระแล้ว...! 

ต่อมาภายหลัง อาตมาได้รับวัตถุมงคลรุ่นเก่าของหลวงพ่อหลายอย่าง ที่คนอื่นเขาหากันทั้งชีวิตก็ไม่ได้ เช่น เหรียญเกลียวเชือก ธงเขียว ธงแดง ลูกแก้วจักรพรรดิ มีดหมอ (ดาบฟ้าฟื้น) พระเนื้อชินตะกั่ว ยันต์ท้าวมหาชมภู ตลอดถึงพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี เป็นต้น ไว้ในครอบครองอย่างง่ายดาย อาตมามั่นใจว่าเป็นอานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ที่ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีเข้าหาเจ้าของ ช่วยบันดาลให้เป็นไปอย่างแน่นอน...!




เล่าเรื่องธงมหาพิชัยสงคราม





สมัยก่อนธงมหาพิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อวัดท่าซุงหวงมาก เพราะว่าทำยากทำเย็นเหลือเกิน สมัยก่อนนี่เขาเขียนด้วยมือ ผืนหนึ่งเขียนเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หลวงพ่อท่านศึกษาตำราเสร็จบอกชอบใจแต่ว่าทำไม่ไหว ไม่มีเวลา ท้าวมหาชมพูที่เป็นเจ้าของธง ท่านเคยเกิดเป็นพระร่วงมาก่อน ท่านมาบอกว่าให้ทำ หลวงพ่อบอกว่าทำไม่ไหว ท่านก็เลยผ่อนผันให้ บอกว่าให้ไปปั๊มขึ้นมาก็ได้แล้วก็นำมาเสก เอามาเสกหลวงพ่อก็บอกว่าเสกไม่ไหว คาถามันยาวเหลือเกิน ท่านก็เลยบอกว่าแกทำมาข้าเสกเอง หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่า เออ..อย่างนั้นพอไหว ท้าวมหาชมพูท่านบอก ถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่ง ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลาน เดี๋ยวจะอัดให้ร่วงเลย..อะไรที่ลำบากหลวงพ่อไม่เอา ท่านเอาแต่สบาย ๆ

คราวนี้การเสกธงมหาพิชัยสงครามตอนนั้นน่ะทำที่ไหนโยมรู้ไหม ? วัดบวรจ้ะ เหลือเชื่อไหม ? เพราะตอนนั้นสถานการณ์ชายเเดนไม่ดีมาก เลยต้องมีการทำวัตถุมงคลสำหรับส่งไปให้ทหารที่ชายแดน งวดนั้นเสกธงมหาพิชัยสงครามที่วัดบวรประมาณ ๑ คันรถปิ๊กอัพ แต่ว่าหลวงพ่อหวงมากใครมาขอธงจะถามว่าเป็นทหารตำรวจชายแดนหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่แนวหน้าก็ไม่ให้ด้วย

ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อออกเยี่ยมชายแดนเป็นว่าเล่นเลย มีรายที่ประเภทเขี้ยวลากดินที่สุดก็คือผู้การประจักษ์ ผู้การประจักษ์ก็คือ พันเอกประจักษ์ สว่างจิต ยังเติร์กคนดัง ตอนนั้นเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ ๒ อยู่ .... เขาเรียกบูรพาพยัคฆ์ คือค่ายอยู่ทางตะวันออก (วัฒนานคร) แกเล่นเอารถถังทุกคันมาให้หลวงพ่อติดธงมหาพิชัยสงคราม และเจิมให้ด้วย กะเอาชนิดที่ว่าอย่างไรกูต้องรอดแน่

ส่วนตัวแกเองเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่เย็บเหรียญหลวงพ่อติดซะแน่นพรืด คนศรัทธามากขนาดนั้นจริง ๆ ของ ๆ หลวงพ่อนี่ชอบมากเลยอยู่ชายแดน ของยิงไม่ออกไม่ชอบหรอก ยิงออกไม่ถูก อย่างหลวงพ่อนี่ชอบมาก มันตรงกับนิสัยของอาตมา ได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วมันมาก พอได้ยินแล้วอยากวิ่งใส่อย่างเดียว อยู่ที่ชายแดนนี่ปลอดภัยมาก ถึงทีเรียกว่าโดนหนัก ๆ ไปเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่งทหารญวนเฮงสัมริน เฮงสัมรินนี่เป็นเขมรแต่ญวนสนับสนุนจะถอนกำลัง มันใช้วิธีรุกอำพรางการถอย ปืนใหญ่ ๓ กระบอกมันระดมใส่เราตั้งแต่ตี ๒ กว่า ๆ หมู่ปืนใหญ่ที่คล่อง ๆ นะ ๓ วินาทียิงได้นัดหนึ่ง เราตีว่ามันห่วยแตก ๖ วินาทียิงได้นัดหนึ่งเลยเอ้า มันยิงอยู่ ๑๕ นาทีเต็ม ๆ แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย ๓ กระบอกมันล่อไป ๔๐๐-๕๐๐ นัด แผ่นดินไหวยังไม่พอบังเกอร์มันทรุดหมด บังเกอร์เขาเรียกสั้น ๆ ว่า “เบิม” มันทรุดลงมาท่อนไม้แต่ละท่อนใหญ่ประมาณขาอ่อนไม่ต้องห่วงหรอกเท่า ๆ กันหมด เพราะว่าตอนที่อาตมาขึ้นไปสั่งลูกน้องมันตัดไม้ เราก็ชี้ที่ให้ขุดหลุมทำบังเกอร์ กว่าจะรู้มันขนมา ๒ คันรถยีเอ็มซี ไม้สักทองล้วน ๆ มันไปตัดจากสวนป่าไม้เขา (หัวเราะ) งวดนั้นเคลียร์กันแทบตายกว่าป่าไม้เขาจะเชื่อว่าเราไม่ได้เจตนา ลูกน้องมันมักง่าย มันเจอสวนไม้สักทองมันก็ลุยเข้าไปเอาเลย ต้นเท่า ๆ กันดีด้วย ขนาดเจ้านายต้องการพอดีเลยใช่ไหม โห...มันล่อมา ๒ ยีเอ็มซีนั่นแหละ เบิมทรุดหมดเลย เรานึกถึงคำพูดหลวงพ่อท่านว่า ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน

คราวนี้เราใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบของเราอยู่จะไปกลัวอะไรนอนตีพุง คนอื่นอพยพกันให้เจี๊ยวไปหมด นอนอยู่ตรงนั้นแหละ นอนฟังดูว่าเสียงปืนมันเพราะดี ปรากฏว่าปืนใหญ่นี่เขาจะมีผู้ตรวจการหน้า เขาเรียก ผตน. ผู้ตรวจการหน้านี่เป็นตัวแสบที่สุด มันจะบอกเป้าหมาย ไม่เกิน ๓ นัดจะลงกลางเป้า ปรากฏว่างวดนั้น ๔-๕๐๐ นัดนี่มันตกมาแค่หน้าฐาน ข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย มันเหมือนยังกับชนกำแพงตกลงมายังหน้าฐานหมด

หลวงพ่อบอกผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐานครั้งนั้นเห็นคาตาเลยจริง ๆ คุ้มได้จริง ๆ ปืนใหญ่นี่รัศมีฉกรรจ์มัน ๕๐๐ เมตร ครึ่งกิโลนะ รัศมีฉกรรจ์หมายถึงโดนนี่ตายแน่ รัศมีฉกรรจ์มันครึ่งกิโลสมัยที่ฝึกใหม่ ๆ เราก็อยากดังใช่ไหม ? บอกมันประเภทซ้าย ๒๐ ลด ๒๐๐ มันด่าว่าลดหาพ่อมึงหรือ ๒๐๐ ลด ๒๐๐ คือ ๒๐๐ เมตร รัศมีมัน ๕๐๐ เมตร สั่งลด ๒๐๐ เมตร ลดไปทำไม มันด่ามาเลย คือมันเชื่อขนาดที่ว่าแค่นั้นโดนแน่ ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เกิน ๓ นัดลงแหง ๆ เลย ๓ กระบอกมันยิงกับประมาณ ๑๕ นาที คงไม่ต่ำกว่า ๔-๕๐๐ นัด

กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ บอกมอบกายถวายชีวิตเลยหลวงพ่อ... ของดีขนาดนี้ และตั้งแต่นั้นมาไม่กลัวอะไรเลย ถูกใจมาก ยิงไม่ออกนี่ไม่ชอบมันไม่ได้ยินอะไร ยิงออกไม่ถูกนี่ชอบจริง ๆ มันมาก ได้ยินเสียงปืนมันอยากวิ่งใส่ตอนนั้นเลย วัตถุมงคลทุกอย่างหลวงพ่อบอกฉันไม่รับรองว่าจะเหนียวเพราะว่าบางคนมันถึงที่ตายนะ ถ้าถึงที่ตายเหนียวก็เข้า

ดังนั้นท่านบอกว่าท่านไม่รับรองให้ใคร แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมาท้าวมหาราชท่านรับรองว่าถ้าเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้หมดอายุจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน ท่านเอาขนาดนั้น ตอนแรก ๆ ที่ท่านทำท่านบอกว่าหนังแตกได้แต่ห้ามกระดูกหัก ไป ๆ มา ๆ ท่านให้ถึงขนาดว่าหมดอายุขัยจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน แสดงว่าเทวดาจริง ๆ เหนื่อยกว่าเราเยอะ..ใช่ไหม ? ทหารออกรบ ๑ กองร้อยพกพระไป ๑ กองพล..! แต่ละคนพวงเบ้อเริ่มเลย มีเราพกธงอยู่ผืนเดียว คนอื่นเขาไม่เชื่อถือกันหรอก เขาคลำคอแล้วไม่มีพระสักองค์ มีธงหลวงพ่อผืนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่ธงเปล่า ๆ อย่างนี้ จะติดธงชาติเล็ก ๆ อยู่ด้วย พอพับ ๆ เสร็จแล้วก็จะคล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่กระเป๋าอยู่ คนอื่นเขาก็รู้แค่เรามีของดี แต่ไม่รู้ว่ามีอะไร

มีอยู่งวดหนึ่งเบิกเบี้ยเลี้ยง อยู่ชายแดนนี่รวยมาก จะมีเบี้ยเลี้ยงปกติ เบี้ยเลี้ยงสนาม เบี้ยกันดารแล้วก็เงินเดือน โห... รวยอย่าบอกใครเลย แต่ว่าพอถึงเวลาไม่มีการปะทะก็เบื่อ มหรสพทุกอย่างไม่มีมันก็เขย่าไฮโล เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่ก็หมด..ใช่ไหม ? ของเราเองเราไม่ค่อยเบิก ไม่ได้ใช้อะไรนี่ ถึงเวลาไม่มีการมีงานเราก็นั่งภาวนาของเรา

ปรากฏว่าวันนั้นเบิกมาพอดีถึงงวดออกเบิกมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่มากระเป๋าตุง เผลอถอดเสื้อไปอาบน้ำหน่อยเดียวกลับมาหายเกลี้ยงทั้ง ๘,๐๐๐ เงินหายกูไม่ว่า แต่ถ้าเอาธงพ่อจะตามล่าจนกว่าจะได้คืน คือคนอื่นเขาไม่รู้ว่าธงดีอย่างไร..ใช่ไหม ? เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาจะเอาเงิน ก็ ๘,๐๐๐ บาทให้มันไป ไม่ว่ากัน นึกว่าขอกันกิน


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

คาถาอาราธนาผ้ายันต์พิชัยสงครามติดตัว

พระอาจารย์ บอกว่า "อาตมาเตรียมผ้ายันต์พิชัยสงครามให้สารวัตร (สามีคุณนงลักษณ์ ปานบุญทอง) ไปรับลูกระเบิด เขาอยู่จังหวัดนราธิวาส

จะพับธงเป็นผืนเล็กๆ เลี่ยมติดตัวก็ได้ หรือมั่นใจว่าพกอย่างนี้แล้วไม่ทำหล่นหายก็ได้ ถ้าสวดอิติปิโสได้ทุกวันก็จะดี แต่ให้อาราธนาว่า พุทธะสังมิ สี่คำเท่านั้น ก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นั่นแหละ รับประกัน..อาตมาโดนปืนใหญ่สี่ร้อยกว่านัดยังไม่เป็นอะไรเลย

สมัยนั้นอาตมาอยู่ชายแดน ๑๓ เดือน ปะทะ ๒๖ ครั้ง
เพื่อนตายไปเกือบ ๓๐ คน แต่อาตมาไม่เคยมีอะไรมาแผ้วพาน เพราะฉะนั้น..ผ้ายันต์พิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่อาตมามั่นใจที่สุด ไปไหนก็พกไปด้วย สมัยอยู่ชายแดนก็พกอย่างนี้ ใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบไว้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเพิ่งจะเบิกเบี้ยเลี้ยง รวมๆ แล้วสมัยนั้นได้แปดพันบาท โดนเพื่อนที่เล่นไฮโลล้วงเงินไป เราก็ตบกระเป๋าดู เห็นว่าธงยังอยู่ ไม่เป็นไร..เอาเงินไปถือว่าขอกันกิน แต่ถ้าล้วงธงไป ตูจะตามล่าสองหมื่นไมล์เลย..!

ธงพิชัยสงคราม เป็นวัตถุมงคลที่อาตมามีประสบการณ์มากที่สุด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญวนเข้าตีโนนหมากมุ่น ปะทะกันตายไปสามร้อยกว่าศพ ตลอดเวลาจะมีปะทะเล็กปะทะใหญ่อยู่ทุกวัน อาตมาไปอยู่แนวหน้า ๕ เดือนกว่า แค่ช่วง ๕ เดือนปะทะไป ๒๖ ครั้ง เฉพาะประเภทหนักๆ ถึงตาย

แต่อาตมานิสัยเสีย พอได้ยินเสียงปืน จะวิ่งใส่อย่างเดียวเลย คือ วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาชอบตรงที่ว่า "ยิงออก" ชอบจริงๆ เสียงดังแล้วมันดี แต่ท่านมีกติกานะ เสียงปืนดังแน่นมากที่สุดทางด้านไหน เราเข้าทางด้านนั้นจะปลอดภัย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก หลวงพ่อท่านไม่ชอบให้ลูกน้องท่านขี้ขลาด ท่านชอบให้ออกทางที่เสียงปืนแน่นที่สุด"

"พี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ตอนเป็น ตชด.อยู่ ท่านข้ามไปรบฝั่งลาว พี่อรรณพจำที่หลวงพ่อบอกได้ ปรากฏว่าข้าศึกตีฐานแตก พี่อรรณพนึกถึงคำสั่งหลวงพ่อท่านได้ว่า เสียงปืนทางด้านไหนแน่นที่สุดให้ออกด้านนั้น พี่อรรณพก็ไปเลย บ้าพอเหมือนกัน

ปรากฏว่าปลอดภัยจริงๆ พี่บอกว่า วิ่งผ่านหน้าพวกนั้น เหมือนกับเขามองไม่เห็นเรา แต่หลวงพ่อขออย่างเดียวว่า ถ้าเจอข้าศึกตรงหน้าอย่าไปยิงเขา เพราะถ้าไปยิงเท่ากับเปิดเผยตำแหน่งตัวเอง

พี่อรรณพก็หนีข้ามฝั่งไทยมา ใครๆ คิดว่าตายแน่ๆ เพราะละลายทั้งฐานเลย ศัพท์คำว่า ละลาย ของทหาร คือหมดสภาพแล้ว ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว"


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔
เึครดิต คุณtamsak ทีมงานพระไตรปิฎก
ที่มาhttp://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2524&page=3

เรื่องเล่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็กและปาน)

เรื่องเล่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็กและปาน)


          จะเล่าถึงท่านพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  ผู้เป็นพี่ก่อน และตามด้วยผู้เป็นน้อง (ปาน)         
เจ้าพระาโกษาธิบดี (เหล็ก) หรือเจ้าพระยาโกศาเหล็ก เป็นบุตรของพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งเรียกกันว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” (บัว)
รูปวาดพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
          ตามประวัติศาสตร์นั้น เจ้าพระยาโกศาเหล็กเกิดในปี พ.ศ. 2175  เพราะอยู่ในวัยเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์ แต่มิทราบนามเดิมและนามบิดาของท่าน  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  หรือเจ้าพระยาโกศาเหล็กนี้มีน้องชายคนหนึ่ง คือ เจ้าพระโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยในประวัติศาสตร์สมัยแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ในวิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี กล่าวว่า บิดาของท่านเป็นขุนนางเชื้อสายมอญ และบอกว่า ท่านมีน้องสาวอีกคน ชื่อ แช่ม หรือ ฉ่ำ)
          แม้จะมิใช่เป็นกษัตริย์ยอดนักรบ  ทว่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) นี้  ก็นับเป็นวีรบุรุษคนสำคัญอีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เช่นกัน  เพราะก่อนหน้าที่สมเด็จพระนารายณ์จะเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น ท่านเป็นเสมียนยอดนักรบคู่ใจของสมเด็จพระนารายณ์  ซึ่งเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า “ขุนเหล็ก”
          พ.ศ. 2224  ปีนั้น  พม่าตามพวกมอญเข้ามาในเขตไทย  ขันเหล็กก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาโกษธิบดี (เหล็ก)  ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นำทัพออกไปรับมือกับพม่า  ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ก็สามารถนำทัพเข้าต่อสู้โรมรันกับพม่าจนแตกพ่ายไปได้ในที่สุด
          พ.ศ. 2225  สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ไปรับมือกับศึกพระเจ้าอังวะที่เข้ามาล่วงล้ำรุกรานไทย
          ศึกครั้งนั้นเป็นครั้งใหญ่กำลังพลของแต่ละฝ่ายนับได้ร่วมแสนคน  ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) มิได้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่เตรียมการรุกและรับอย่างเดียว  แต่ท่านได้ศึกษาการรบตามหลักพิชัยสงครามอย่างละเอียดรอบคอบ จนทำให้เอาชัยชนะพม่าได้อีกคำรบหนึ่ง
          การเอาชนะพม่าได้ในครั้งนี้  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ได้แสดงปรีชาสามารถในเชิงจิตวิทยา  ครั้งหนึ่งได้แต่งหนังสือเป็นเชิงท้าทายพม่าให้ออกมาสู้รบกันข้างนอกเมืองด้วยเพราะได้ล้อมพม่าไว้เป็นเวลานาน  จนใกล้จะขาดแคลนเสบียงอาหารแล้ว
          ชั้นเชิงในการแต่งหนังสือนั้งทำให้พม่าเสียทีหลงกลไทยเป็นเหตุให้แพ้พ่ายแก่ไทยในที่สุด  เมื่อชนะแล้วก็ยังได้ส่งหนังสือเข้าไปยังเมืออังวะอีก  จนเป็นเหตุให้เมืองอังวะคิดว่าเป็นแลลวงอีกคำรบหนึ่ง  จึงรู้สึกขยาดและครั่นคร้ามต่อกองทัพไทยเป็นยิ่งนัก  หลังจากนั้นก็มิปรากฏว่าอังวะจะกล้ายกทัพออกจากเมืองมารุกรานไทยอีกเป็นเวลานานทีเดียว
          เจ้าพระโกษาธิบดี (เหล็ก) ท่านเป็นแม่ทัพไทยที่มีความช่ำชองในการศึกษา  และมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญสมกับเป็นแม่ทัพใหญ่  ในเชิงพิชัยยุทธ์นั้นท่านมีความเฉลียวฉลาดและลึกซึ้งเป็นยิ่งนัก  จึงกล่าวได้ว่าท่านกรำศึกษาอย่างโชกโชน  คู่ราชบัลลังก์ของสมเด็จพระนารายณ์
          พ.ศ. 2226  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  ได้เกิดล้มป่วยลงเนื่องจากผ่านการรบทัพจับศึกมาอย่างตรากตรำลำบากเป็นเวลานาน ซึ่งในระหว่างที่ล้มป่วยนั้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้บรรดาแพทย์หลวงทั้งปวงมาทำการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด  ด้วยเพราะทรงรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เสมือนหนึ่งดั่งพี่น้องแท้ ๆ  ของพระองค์
          แต่ทว่าในที่สุดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ก็ถึงแก่อสัญกรรมท่ามกลางความโศกเศร้าเสียพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งกล่าวกันว่าทรงหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความอาลัยรักในขุนศึกซึ่งเปรียบเป็นเสมือนพระสหายสนิท  และเป็นทั้งพี่น้องที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังพระเยาว์ (ในวิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี  กล่าวว่าท่านถึงแก่อสัญกรรม เนื่องจากเมื่อมีการสร้าง ป้อมปราการ จำเป็นต้องมีการเกณฑ์แรงงานในการก่อสร้าง แต่บางคนไม่อยากทำจึงนำเงินไปให้ท่าน และท่านได้กราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระนารายณ์ว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างป้อมปราการ ท่านจึงถูกสมเด็จพระนารายณ์สั่งลงทัณฑ์โดยการเฆี่ยนจนถึงอสัญกรรม)
          สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงทำการฌาปนกิจศพเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) อย่างยิ่งใหญ๋สมเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง  และหลังจากนั้นก็ได้ทรงสนับสนุนให้นายปานผู้เป็นน้องชายคนเดียวของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แทนพี่ชายสืบต่อไป
          ส่วนเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้น้อง  เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2193  เป็นน้องชายคนเดียวของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นบุตร “เจ้าแม่ดุสิต” ผู้เป็นพระนมและพระพี่เลี้ยงคอยถวายการอภิบาลดูแลสมเด็จพระนารายณ์ หลังจากที่พระราชมารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
          ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดีทั้งสองพี่น้องมีความสนิทชิดใกล้กับสมเด็จพระนารายณ์มากกว่าในฐานะข้าราชบริพาร แต่หากมีความสนิทมากกว่าระดับพระสหายเพราะเปรียบเสมือนเป็นเช่นพี่น้องกันก็มิปาน
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) นั้น  ได้รับการไว้วางพระทัยและการยกย่องจากสมเด็จพระนารายณ์มิใช่น้อย  ดังจะเห็นได้ว่าในคราวที่สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส และปรารถนาที่จะให้ไทยเราได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของต่างประเทศว่มีความก้าวหน้าล้ำไปอย่างไรนั้น  สมเด็จพระนารายณ์ก็ได้ทรงเลือกนายปานผู้เป็นน้องชายของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ให้ได้รับเกียรติอันสูงสุดโดยแต่งตั้งเป็นราชทูตไทยเดินทางไปยังฝรั่งเศส  เพื่อถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงเป็นราชทูตไทยคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้เดินทาออกจากแผ่นดินไทยไปสู่แผ่นดินต่างประเทศ
          ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และคณะราชทูตไทยนั้นได้ลงเรือเดินทางออกจากประเทศไปเมื่อปี พ.ศ. 2228  ซึ่งเป็นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้สำเร็จเป็นครั้งแรก  ก่อนหน้านั้นไทยเราได้ส่งคณะทูตออกเดินทางสู่ต่างประเทศบ้างแล้ว  แต่ทว่ามิสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้ เพราะเกิดอุปสรรคเรืออัปปางลงก่อนเสมอ
รูปวาดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เดินทางถึงฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2228  โดยได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซาย ในเดือนกันยายน  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ให้การต้องรับคณะทูตไทยอย่างสมเกียรติและได้แลกเปลี่ยนเครื่องราชบรรณาการกันด้วย
          พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นมีความทึ่งและชื่นชมในคณะทูตไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมกลางมหาสมุทรมาสู่ฝรั่งเศสได้อย่างปลอดภัย  เมื่อซักถามถึงวิธีการเอาตัวรอดพ้นจากอันตรายนั้น  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็ได้กราบทูลตอบด้วยความเฉลียวฉลาด อันเป็นเหตุให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดปรานและชื่นชมในสติปัญญาแก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นยิ่งนัก
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ในขณะนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่ม จึงนับได้ว่าเป็นราชทูตที่มีความสง่างามทั้งบุคลิกและสติปัญญาอันปรดเปรื่องลึกซึ้ง  อีกทั้งกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย  เป็นผู้ที่ช่างจำช่างคิดและไตร่ตรองก่อนพูดเสมอ
          ในชั้นเชิงการทูตนั้น กล่าวได้ว่า ท่านมีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถสร้างประโยชน์และความสำเร็จให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในการเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนั้น
          นอกจากชั้นเชิงลีลาและฝีมือในการทูตแล้ว  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ยังได้นำเอาวิชาความรู้ทางด้านคาถาคงกระพันชาตรีอันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของไทยเราแต่สมัยโบราณไปอวดให้เป็นที่ประจักษ์แก่หน้าพระพักตร์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แลทหารฝรั่งเศสทั้งปวงด้วย
          ทั้งนี้ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ได้จัดการให้คนไทย 17 คน แต่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์นุ่งขาวห่มขาว  นุ่งเครื่องแต่งตัวที่ลงเลขเสกยันต์พันผ้าต่าง ๆ  นั่งอยู่ที่หน้าพระลาน  แล้วให้ทหารฝรั่งเศสยิงเข้าใส่ ซึ่งด้วยอำนาจคุณของคาถาอาคมและเลขยันต์ต่าง ๆ  นั้น ทำให้ปืนไฟของฝรั่งเศสไม่สามารถจะยิงกระสุนออกได้แม้แต่นัดเดียวหรือกระบอกเดียว  ตามที่เรียกกันว่าปืนด้านนั่นเอง
          ด้วยวิชาอาคมของไทยโบราณในครั้งนั้นทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และทหารชาวฝรั่งเศสถึงกับทึ่งในวิชาโบร่ำโบราณของไทยเป็นยิ่งนัก
          ด้วยเพราะมีปฏิภาณไหวพริบอันปราดเปรื่องลึกซึ้ง  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  จึงได้รับพระกรุณาอย่างสูงจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  สามารถเข้าเฝ้าและคอยอยู่ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทได้เสมอ และนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สามารถสังเกตดูความเป็นไปต่าง ๆ  ในราชสำนักได้โดยละเอียดแม้กระทั่งการตกแต่งพระราชอาสน์ของพระมหากษัตริย์  ท่านก็ได้สังเกตการณ์ประดับและการตกแต่งเพชรพลอยทั่วราชอาสน์นั้นด้วย  มิได้เพียงแค่ศึกษาความเป็นไปในการปกครองบ้านเมืองแต่อย่างเดียวเท่านั้น
ภาพวาดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
          พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) อย่างสูง ถึงขนาดพระราชทานนางข้าหลวงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งให้เป็นภริยาของราชทูตโกษาธิบดี (ปาน) พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องแต่งกายแบบฝรั่งเศสกับเพชรพลอยต่าง ๆ  จำนวนหนึ่งให้แก่ราชทูตผู้นี้ด้วย
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) พำนักอยู่กินกับภริยาชาวฝรั่งเศสจนกระทั่งได้บุตรชายผู้หนึ่ง ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงขอลูกชายนั้นไว้ด้วย มีพระประสงค์อยากจะได้ทายาทเชื้อสายของราชทูตผู้เฉลียวฉลาดผู้นี้ไว้เลี้ยงดูเป็นที่รักใคร่ต่อไป  ดังนั้น  เมื่ออยู่พำนักที่ฝรั่งเศสครบ 3  ปีเต็ม  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงได้กราบบังคมทูลลาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และฝากฝังภริยากับบุตรไว้กับราชาแห่งฝรั่งเศสก่อนที่จะเดินทางมุ่งกลับสู่แผ่นดินไทย  ในช่วยปลายปี 2230
          นอกจากความเฉลียวฉลาดเยี่ยงนักปราชญ์ราชทูตแล้ว  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ยังมีจิตใจที่หาญกล้าเด็ดเดี่ยวมิใช่น้อย ท่านได้เคยออกทัพจับศึก และมีชัยชนะในการศึกหลายครั้งหลายครา  เป็นต้นว่า ครั้งที่นำกรุงศรีอยุธยาไปทำสงครามกับพม่าถึงกรุงอังวะนั้น  ท่านก็ได้ชัย และยังได้ปราบปรามหัวเมืองที่ยังกระด้างกระเดื่องต่าง ๆ  ให้สงบราบคาบได้อีกด้วย
          ครั้นเมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็ตกที่นั่งลำบาก  เนื่องจากพระเพทราชานั้นมิได้มีความเป็นมิตรไมตรีกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) แต่อย่างเดิม  ทั้ง ๆ  ที่พระเพทราชานั้นก็เรียกมารดาของพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ว่าแม่  แต่ทว่าด้วยความขัดแย้งทางการเมือง เจ้าพระยาโกศาปาน หรือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  จึงถูกกลุ่มของพระเพทราชาและขุนหลวงสุรศักดิ์จับตัวเอาไปเฆี่ยนตีทำทรมานจนถึงแก่อสัญกรรมในวัยเพียง 40 ปีเท่านั้น..ฯ 











พระยาโกษาปาน กับ หน่วยอาทมาต


พระยาโกษาปาน กับ หน่วยอาทมาต





หยง เมียงดง·4 ตุลาคม 2016
...ธงมหาพิชัยสงคราม... ............ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ส่งเจ้าพระยาโกษาปาน 
ไปทำสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ ซึ่งได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า “...........เมื่อเรือสำเภาอันจะเข้าสู่กรุงฝรั่งเศสนั้น จะต้องผ่านวังน้ำอันวนเชี่ยวใหญ่
เรือสินค้ามากมายถูกดูดลงสู่วังน้ำวน จมลงนับร้อย เรือสำเภาอันเจ้าพระยาโกษาปาน
ราชทูตโดยสารมานั้น จะถูกดูดเข้าวังวน ปะขาวอาจารย์ของเจ้าพระยาโกษาปาน
ได้ตั้งพิธีขึ้น ระลึกถึงพุทธานุภาพ ทำอาโปกสิณ บัดหนึ่งก็เกิดลมสลาตัน
ยกเรือสำเภาของพระยาโกษาปาน ข้ามผ่านวังน้ำวนนั้นไปเป็นที่อัศจรรย์

...........ในเวลาเที่ยง พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงให้ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
แม่นปืนสองหมู่ หมู่หนึ่งชุดแต่งกายแดงร้อยคน หมู่หนึ่งชุดแต่งกายดำร้อยคน
ตั้งกองอยู่ตรงข้ามกัน ห่างกันสักสี่สิบห้าสิบวา ฝ่ายทหารชุดแต่งกายแดงทั้งร้อยคน
ยิงปืนไปยังหน่วยทหารแต่งกายดำ ลูกปืนเข้าสู่ลำกล้องของทหารแต่งกายดำ
ทั้งร้อยกระบอก พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินสยาม 
มีทหารแม่นปืนเช่นนี้หรือไม่ ? เจ้าพระยาโกษาปานตอบว่า ในเมืองสยาม
ไม่มีทหารแม่นปืน เหมือนเช่นในฝรั่งเศส เพราะอาวุธปืน 
ไม่อาจทำอันตรายทหารสยามได้ จึงไม่มีความจำเป็น ในการตั้งกองทหารปืน 
พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ จึงตรัสว่า มีเหตุเช่นนั้นจริงหรือ ? ..........เจ้าพระยาโกษาปานจึงกราบทูลตอบว่า “ข้าพระพุทธเจ้า 
จะขอแสดงให้ทอดพระเนตรในวันพรุ่ง โดยขอให้หน่วยทหาร ทั้งชุดแดงและชุดดำ เป็นผู้ยิงปืน” ...........ในวันรุ่งขึ้น ปะขาวได้ตั้งศาลเพียงตา แลวางสายสิญจน์รอบปักธงธวัชแล้ว 
ให้กลาสีเรือชายสยามทั้งร้อย เข้าไปอยู่ภายในวงรอบสายสิญจน์ มลฑลพิธี 
ภายนอกห่างไปสักยี่สิบวา ทหารชุดแต่งกายแดง และทหารชุดแต่งกายดำ
พร้อมปืนยืนรออยู่ เมื่อปะขาวผู้ทรงศีลให้สัญญาณ เจ้าพระยาโกษาปาน
จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รับสั่งให้ทหารปืนทั้งหมด เล็งยิงไปยัง
กลาสีเรือชายสยามทั้ง ๑๐๐ คนนั้น ........... ............เสียงปืน ๒๐๐ กระบอก ดังสนั่นหน้าพระที่นั่ง ควันปืนอบอวลคลุ้งกระจาย 
ลูกกระสุนปืนทั้ง ๒๐๐ นัด มิได้ระคาย แม้ชายเสื้อทหารสยามทั้งหลาย เป็นที่อัศจรรย์
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จึงทรงตรัสถามเจ้าพระยาโกษาปานว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
มียอดทหารเช่นนี้อีกเท่าใด? เจ้าพระยาโกษาปานกราบทูลตอบว่า “ชายสยามเหล่านี้ 
เป็นเพียงประชาชนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เกณฑ์มาเป็นกลาสีเรือเท่านั้น 
ส่วนทหารของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น เยี่ยมยอดกว่านี้มากมาย
(ความจริงแล้ว กลาสีเรือทั้ง ๑๐๐ คนนี้ คือหน่วยอาทมาต ที่ได้ศึกษาวิชชาชาตรี
เจนจบในตำหรับพิชัยสงครามมาเป็นอย่างดีแล้ว) ............พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ตรัสสรรเสริญ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่ามีบารมี 
ที่มีทหารหาญ ที่แกร่งกล้าและคงทนแก่ศาสตราวุธ จึงสามารถรักษาประเทศสยาม
ให้เป็นเอกราชไว้ได้..........” ........ธงมหาพิชัยสงครามนี้จะเป็น ธงที่ใช้ในการออกรบในสมัยพระร่วงเจ้า 
ได้รับชัยชนะต่อข้าศึกทั้งหลาย.......... 
...........ภายในธง ประกอบด้วย 
พระบารมี แห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นหลัก.......... ...........ดังในยอดธง มี พุทธะสังมิ ซึ่งเป็น คำย่อของ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง คัจฉามิ 
เป็นการสรางความมั่นคงต่อ พระรัตนะตรัย เป็นการประกาศขอยึดเป็นสรณะที่พึ่งอันสูงสุด ........... ............ถัดมา คือ อะ สัง วิ สุ โล พุ สะ พุ ภะ ซึ่งเป็นคำย่อ ของพุทธคุณ 
อันมี ตั้งแต่ อะระหัง จนถึงภควาติ........... ............เป็นการนำใจที่เคารพแล้ว เข้าถึงความเป็นพุทธะ 
คือความสะอาด สว่าง สงบ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรได้ตรัสสั่งและสอน............ ............ถัดมาอีกในวงกลมแต่ล่ะวง นับได้ 10 วง เปรียบถึง บารมี 10 ประการ ภายในวงใหญ่ 
ได้อัญเชิญรูปภาพเปรียบแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ตรงการภายในวงกลม
คือองค์สมเด็จองค์ปฐมต้นสุด รอบมีรูปองค์พระทั้ง 28 พระองค์ตามปรากฏในพระคัมภีร์ต่างๆ 
เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นต้น รอบกลับบัวมี คาถาบารมี 30 ทัศ ซึ่งกลับบัวเทียบเสมือน
รัศมีแห่ง พระพุทธคุณ พระบารมี ที่แผ่กระจาย ปกคลุมผู่ที่ได้ครอบครอง และทั่วไปโดยรอบด้าน.......... ...........กล่าวโดยสรุป ธงมหาพิชัยสงครามนี้ มีคุณทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลก
เป็นไปตามโลกธรรมต่างๆ ส่วนในทางธรรมแล้ว เปรียบประมาณค่ามิได้ คือ การเข้าถึง
ไตรสรณะคมส์ การบำเพ็ญบารมี 10 ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อละสังโยชน์ 10 ประการ 
เป็นทางแห่ง มรรคผล พระนิพพานในที่สุด........... ........... ภายในดอกบัวใหญ่ที่ปรากฏภาพพระพุทธเจ้านั้น เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า
ทั้ง 28 พระองค์ กลีบบัวใหญ่บรรจุด้วยพระคาถาอาวุธพระพุทธเจ้านั่นคือ บารมี 10 ประหนึ่งว่า
วงกลมทั้ง 10 วงบนยันต์ ก็คือบารมี 10 นั่นเอง ที่ยอดพุ่มของธง เป็นคำย่อของบท อิติปิโสฯ
และบนยอดธงบรรจุคาถา พุท ธะ สัง มิ คือคำย่อของไตรสรณาคม ในวงย่อยแต่ละวง
มีคำว่า พุท ธะ มะ อะ อุ นะ โม พุท ธา ยะ อยู่ด้วย ที่บัวดอกเล็กเป็นคาถา บารมี 30 ทัศ 
บทว่า อิ ติ ปา ระ มิต ตา ติง สาฯ ........... ............ยันต์นี้ไม่เพียงแต่มีชัยในทางโลกธรรม หากแต่เป็นเครื่องหมายเตือนพระโยคาวจร
ทั้งหลายว่า หัวใจของการชนะกิเลสทั้งปวงอาศัยบารมี 10 เป็นเครื่องประหาร
เมื่อสามารถทรงบารมีทั้ง 10 ประการครบถ้วน ท่านก็ชนะหมดโลก คือ ชนะกิเลสในใจ
ของท่านทั้งหลายนั่นเอง ............ .............จึงถือได้ว่าพุทธานุภาพของยันต์พิชัยสงครามนี้ 
เป็นคุณแก่ท่านที่มีไว้ครอบครองแท้จริง ............ .............สงครามที่เหลืออยู่คือสงครามที่ท่านรบกับใจตัว 
ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ชนะสมดังปรารถนาเถิด. ............. .............หมายเหตุ : *
มะ อะ อุ - อุ อะ มะ - อะ มะ อุ * หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส 
ได้เมตตาเขียนไว้ดังนี้ ............. อะ - อรหัง สัมมาสัมพุทโธ อุ - อุตตะมัง ธัมม มัชฌะคา มะ - มหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตังรตนัตตะยัง ยอดธง พุท-ธะ-สัง-มิ ย่อมาจากไตรสมณคมณ์-พุทธังสรณังคัจฉามิ ธรรมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ บนพานใต้เสาธง อะ สังอะ วิสังอะ สุวิสังอะ โลสุวิสังอะ ปุโลสุวิสังอะ สะปุโลสุวิสังอะ พุสะปุโลสุวิสังอะ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ยันต์กลม1 ธา ลัง ถะ ตัง มะ ติ ตะ โน ยา กลมดำ2 ล้อมด้วย ระมิติงสา-พัญญูมาคะ-ตาธิมนุปัตโต-โสจะเตนะโม แถวกลาง ปิ ติ โพติ อิ ติธา ติ สัพ ถอดพิศดารมากจาก อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพัญญูมาคะตา อิติโพธิมนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม วงกลมแถว3 วงซ้าย นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)อนุโลม วงขวา นะโมพุทธายะมะอะอุ แบบตาหมากรุก(ม้า)ปฏิโลม กลมแถว4 กลมซ้าย จะ ติ ยา ลัง มะ นา ธา ตัง ตะ กลมขวา ชิ ติ ยา โส มะ เต เน นา ชิ อะ เต สะ ตา สะ มะ เต ถุ ถะ ภะ สิ โล เพ วิ ติ มา ติน วะ ภะ ธา ชุ นุ นา มา ตะ นิ สะ เถ นิ รุ เม จะ